ค้นหา
Custom Search
|
(ในสายตามนุษย์) ซึ่งถูกพบอยู่บริเวณเกาะซากินธอส (Zakynthos) ประเทศกรีซ เมื่อปี 2013 ได้รับการตรวจสอบยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มิใช่ฝีมือของมนุษย์
“จุดดังกล่าวถูกพบโดยนักดำน้ำ
ซึ่งตอนแรกเชื่อกันว่าเป็นเมืองท่าโบราณที่จมลงสู่ทะเล…เมื่อมองจากภายนอกมันดูคล้ายกับฐานของเสาทรงกลม และพื้นที่มีการปูทับ แต่กลับไม่มีสัญญาณใดๆให้เห็นถึงการใช้ชีวิต[ของมนุษย์] เลย เช่นเครื่องปั้นดินเผา” แถลงการณ์ของ จูเลียน แอนดรูส์ หัวหน้าทีมวิจัยจากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยแองเกลียตะวันออก (UEA) กล่าว
การตรวจสอบของทีมนักวิจัยจาก UEA และมหาวิทยาแห่งเอเธนส์ด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ การสแกนด้วยเอ็กซ์เรย์ และวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่า ซากกลุ่มหินเหล่านี้เป็นสิ่งที่คล้ายกับท่อน้ำตามธรรมชาติจากใต้พื้นผิวดินที่ทำให้สารไฮโดรคาร์บอนสามารถไหลผ่านสู่ท้องทะเลได้
ขณะอยู่ใต้ผิวดิน จุลินทรีย์จะอาศัยสารไฮโดรคาร์บอนเช่นมีเทนเป็นพลังงาน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวทำให้เกิดการเกาะตัวแข็งของตะกอนขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นเมื่อผิวดินใต้ท้องน้ำค่อยๆกร่อนตัวลง โครงสร้างเหล่านี้ก็โผล่ขึ้นมาสู่ท้องทะเลและถูกปกกลุ่มด้วยสิ่งมีชีวิตใต้น้ำยุคใหม่
ทั้งนี้จากงานวิจัยของแอนดรูส์ซึ่งเริ่มเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมาแม้ว่าโครงสร้างดังกล่าวจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเมืองโบราณใต้น้ำอย่างที่เข้าใจกัน แต่การค้นพบครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกพบได้บ่อยนัก เนื่องจากพื้นที่ที่พบอยู่ในบริเวณที่น้ำค่อนข้างตื้น ขณะที่โครงสร้างลักษณะคล้ายๆกันมักถูกพบในพื้นที่น้ำลึกเป็นร้อยเป็นพันเมตร แอนดรูส์กล่าว
ซึ่งนักประวัติศาสตร์ในยุคกลางไม่น้อยเชื่อคำของเพลโตอย่างจริงจังว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ และคาดเดาที่ตั้งของแอตแลนติสไปต่างๆนานา
เมื่อเข้าถึงยุคเรเนซองส์บ้างก็เชื่อมโยงไปถึงอารยธรรมมายาและแอซเท็กในทวีปอเมริกา เนื่องจากคนยุโรปเมื่อครั้งที่เพิ่งพบโลกใหม่ไม่เชื่อว่าชนพื้นเมืองมีศักยภาพที่จะสร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนัประวัติศาสตร์ไม่น้อยเชื่อว่า แอตแลติสของเพลโตน่าจะเป็นเพียงตำนานที่แต่งขึ้นเพื่อเสริมแนวคิดรัฐในอุดมคติของเขาเอง แต่อาจได้แรงบันดาลใจมาจากบันทึกโบราณของอียิปต์ถึงเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่บนเกาะเธรา (Thera) ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อเกาะซานโตรินี