*การฝังเสาหลักเมือง หรือ เสามหาปราสาท จะต้องเอาคนที่มีชีวิตมาฝังลงในหลุมทั้งเป็น เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารป้องกันศัตรู ป้องกันมิให้มีโรคภัยไข้เจ็บกับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองบ้านเมือง ซึ่งการทำพิธีกรรมนี้ต้องเอาคนที่มีชื่อว่า อิน จัน มั่น คง มาฝังลงหลุมจึงจะถือว่าศักดิ์สิทธิ์
เมื่อถึงเวลาเรียกหาคนชื่ออิน จัน มั่น คง ใครโชคร้ายขานรับขึ้นมาจะถูกนำตัวไปฝังในหลุม
เมื่อถึงวันพิธีจะเลี้ยงดูทั้ง 4 คนให้อิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็จะแห่แหนนำไปที่หลุม
พระมหากษัตริย์จะมีรับสั่งให้คนทั้งสี่เฝ้าประตูเมืองไว้ และให้แจ้งข่าวให้รู้ทั่วกัน บนหลุมเสาหลักเมืองนั้นจะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมในระดับสูงพอควรและโยงไว้ด้วยเชือก 2 เส้น เมื่อคนมาอยู่ในหลุมก็จะตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่นลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายให้บี้แบนอยู่ในหลุม คนไทยเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายเป็น “อารักษ์” ที่เรียกว่า “ผีราษฎร”
พระมหากษัตริย์จะมีรับสั่งให้คนทั้งสี่เฝ้าประตูเมืองไว้ และให้แจ้งข่าวให้รู้ทั่วกัน บนหลุมเสาหลักเมืองนั้นจะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมในระดับสูงพอควรและโยงไว้ด้วยเชือก 2 เส้น เมื่อคนมาอยู่ในหลุมก็จะตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่นลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายให้บี้แบนอยู่ในหลุม คนไทยเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายเป็น “อารักษ์” ที่เรียกว่า “ผีราษฎร”
กรณีนี้ในสมัยก่อนตามบ้านขุนนางผู้ใหญ่หรือคหบดีก็ทำกับทาสของตนเพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าทรัพย์ที่ตนฝังเอาไว้ ในประเทศพม่าเองเมื่อครั้งสร้างราชธานีใหม่ก็ทำเช่นนั้นคือ ฝังอาถรรพ์โดยใช้คนเป็นๆถึง 52 คน เฝ้าประตูเมือง ประตูละ 3 คน 12 ประตู 36 คน และยังใต้พระที่นั่งในท้องพระโรง ซึ่งต้องฝังอีก 4 คน คนที่ถูกนำมาฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรกำหนด คือไม่ใช่นักโทษที่ต้องโทษประหาร แต่จะเป็นคนในวัยต่างๆกัน มีตั้งแต่เด็ก คนมีอายุทั้งหญิงและชาย ทุกคนต้องมีฐานะดี เป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามฤกษ์วันเวลาที่โหรกำหนด ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก ผู้หญิงไม่เจาะหู เมื่อสั่งเสียร่ำลาญาติพี่น้องแล้ว ก็จะถูกนำตัวไปลงหลุม และญาติพี่น้องก็จะได้รับพระราชทานรางวัล
การฝังคนทั้งเป็นให้เฝ้าสมบัตินี้ เคยเล่าให้ฟังถึงเพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีสัมผัสพิเศษ
เขามีประสบการณ์ได้เห็นเหตุการณ์นี้
แวบเข้ามาในหัวขณะขับรถจะกลับบ้าน ซึ่งต้องผ่านบริเวณคูเมืองโบราณบริเวณแหล่งประวัติศาสตร์เมืองโบราณคูบัวของจังหวัดราชบุรี
เขาเห็นภาพพิธีกรรมที่มีชายคนหนึ่งอยู่ในหลุม และมีผู้กำลังใช้ดินกลบหลุมนั้นท่ามกลางสายตาของผู้ที่อยู่ในพิธีมากมาย ที่น่าแปลกคือชายผู้นั้นไม่มีอาการวิตกใดๆเลย เขาหลับตาพนมมือทำปากขมุบขมิบคล้ายสวดมนต์หรือบริกรรมคาถาบทใดบทหนึ่งอยู่ เวลานั้นเขา “รู้” ได้ทันทีว่านี่คือพิธีกรรมฝังคนทั้งเป็นเพื่อเฝ้าสมบัติ แสดงให้เห็นว่าพิธีกรรมดังว่านี้มีจริงๆ
ซึ่งบริเวณแหล่งประวัติศาสตร์นี้ปัจจุบันก็ยังมีรูปปั้นของปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ด้วย และยังมีผู้ที่พบเห็นดวงวิญญาณของท่านอยู่เนืองๆ
สำหรับศาลหลักเมืองในกรุงเทพฯนั้นรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงเป็นองค์ประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่าคัมภีร์พระนครฐาน และการทำพิธีครั้งนั้นเล่ากันมาว่าเกิดอาถรรพ์ประหลาดจนเป็นที่มาของการทำนายดวงประเทศนับแต่นั้น
คือเมื่อได้ฤกษ์จะทำพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุมขณะที่เจ้าหน้าที่ยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ก็ได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์โดยปรากฏมีงูตัวเล็ก 4 ตัวลงไปอยู่ในหลุม ซึ่งทุกคนที่อยู่ในพิธีมาเห็นก็เมื่อเคลื่อนเสาหลักเมืองลงไปในหลุมแล้ว โดยที่ก่อนจะยกเสาก็มองไม่เห็นว่าในหลุมจะมีงูลงไปอยู่ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย งูทั้ง สี่จึงตายอยู่ภายในก้นหลุมนั้น
มาร่วมวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าจะเป็นมงคลนิมิต หรืออวมงคลนิมิต บรรดาโหรผู้รู้ต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่าเป็นอวมงคลนิมิต แต่ไม่สามารถชี้ลงไปได้ว่าผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด โดยลงความเห็นว่างูเล็กทั้งสี่นี้เป็นมูลเหตุนำความอวมงคลมาสู่บ้านเมือง
จนทำให้รัชกาลที่ 1 ทรงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองนับจากวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เป็นต้นไปว่าระบอบการปกครองของไทยจะต้องเปลี่ยนโดยระบอบราชาธิปไตยมีอีก 150 ปี ก็จะหมดยุค เพราะงูนั้นในสมัยโบราณทั้งโหราจารย์หรือพระมหากษัตริย์จะทราบว่ามันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตย และยังบอกว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้นจะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื่อพระวงศ์ 4 พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์ และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เป็นวันที่ครบ 150 ปีจากวันที่ฝังเสาหลักเมือง
ช่วงเวลานั้นมีเจ้านาย 4 พระองค์ เป็นผู้รับผิดชอบบริหารบ้านเมืองคือพระมหาสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งน่าประหลาดที่ทุกพระองค์มีพระราชสมภพในปีเดียวกัน
ทั้ง 4 พระองค์คือปีมะเส็ง และดูเหมือนเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์จะรู้ถึงคำทำนายนี้มาก่อนจึงได้ร่วมกันทำบุญแก้เคล็ด หรือสะเดาะเคราะห์ โดยสร้างตึกขึ้นมา 1 หลัง เรียกว่า “ตึก 4 มะเส็ง” ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาฯ หรือสถานเสาวภาในปัจจุบัน ตึก 4 มะเร็งนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับเลี้ยงงูพิษ ปลามีพิษ สัตว์และแมลงมีพิษต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป
แต่ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไร สุดท้ายก็ยังเกิดจนได้ นี่คงเป็นอาถรรพ์ของดวงชะตาเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าจะเกิดเหตุใดๆขึ้นกับการปกครองของไทย ผู้ที่ทำนั้นว่ากันว่าจะพบกับความฉิบหาย เพราะในการฝังเสาหลักเมืองครั้งนั้นได้ทำการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมือง และยังมีพระสยามเทวาธิราชอันศักดิ์สิทธิ์คอยปกปักคุ้มครอง.